TOP เผยงบ Q1/67 ทะยาน 28.7% กำไรสุทธิ 5,863 ล้านบาท ชี้ Q2/67 น้ำมันยังแพงขึ้น

นายบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. ไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 114,239 ล้านบาท และ EBITDA 10,949 ล้านบาท มีกําไรสุทธิ 5,863 ล้านบาท คิดเป็นกําไรสุทธิ 2.62 บาทต่อหุ้น

ในไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีกําไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกนํ้ามัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 10.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และด้วยปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ราว 291,000 บาร์เรลต่อวัน ทําให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 114,239 ล้านบาท

และมี  EBITDA ที่ 10,949 ล้านบาท เมื่อรวมค่าใช้จ่ายดําเนินงาน ต้นทุนทางการเงิน กําไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้ ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิและขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงิน ทําให้มีกําไรสุทธิ 5,863 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 กลุ่มไทยออยล์มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 428,357 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 8,364 ล้านบาท สาเหตุหลักจากสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของ ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ สุทธิ จากการลงทุนในโครงการต่างๆ ตามแผนงาน เช่น โครงการพลังงานสะอาด รวมถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ามูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเพิ่มขึ้นตามราคาหลักทรัพย์ที่บริษัทถือครอง ประกอบกับเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 

สำหรับหนี้สินรวมของกลุ่มไทยออยล์ปรับเพิ่มขึ้น 3,119 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนมาอยู่ที่ 254,800 ล้านบาท จากเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ (รวมส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) เพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงหุ้นกู้สุทธิจากส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีเพิ่มขึ้นจากผลต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่ส่วนของหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีลดลง 

ส่วนของผู้ถือหุ้นของกลุ่มไทยออยล์ มียอดรวมทั้งสิ้น 173,557 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 5,245 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลกำไรสุทธิประจำงวดที่เพิ่มขึ้นจากกำไรจากการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตามประเมินสถานการณ์ธุรกิจ ว่าราคาน้ำมันดิบใน Q2/67 และตลอดครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ธุรกิจโรงกลั่นในช่วง Q2/67 มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Q1/67 หลังได้รับแรงกดดันจากโรงกลั่นใหม่หลายแห่ง เช่น AI-zour Duqm และ Dangote ดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลัง ส่งผลให้อุปทานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับแรงกดดันจากค่าเรือขนส่งสินค้าที่อยู่ในระดับที่สูง ทำให้ให้อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปที่ส่งออกจากเอเชียไปยังยุโรปทำได้ยากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงกลั่นยังได้รับแรงหนุนจากโรงกลั่นรัสเชียที่ยังคงอยู่ในระหว่างการปิดปรับปรุงจากการถูกโจมตีโดยยูเครน ซึ่งส่งผลให้ตลาดน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มตึงตัว ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงฤดูกาลขับขี่ของสหรัฐฯ ท่ามกลางปริมาณสต๊อกน้ำมันเบนซินและดีเซลโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้มีแนวโน้มปรับสู่สมดุลโดยอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก แต่ยังถือว่าสูงกว่าระดับก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 
 


หมวดเดียวกัน

พบแล้ว! จุดตก ฮ.ประธานาธิบดีอิหร่าน รอข่าวเจ้าตัว l World in Brief

พบแล้ว! จุดตก ฮ.ประธานาธิบดีอิหร่าน ตามที่สื่ออิหร่านรายงานว่า เฮลิคอปเตอร์ลำที่ประธานาธิบดีอิบราฮิม...

เตรียมพร้อม! ยูเครนบังคับใช้ กม.ระดมพล รับมือรัสเซียโจมตีระลอกใหญ่

กฎหมายระดมพลฉบับใหม่ที่ผ่านการอนุมัติของรัฐสภายูเครนเมื่อกลางเดือนเมษายน เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันเ...

ผู้นำใหม่ไต้หวันเตรียมเสริมเขี้ยวเล็บ ติดตั้ง“ขีปนาวุธ-โดรน”รับมือจีน

“ไล่ ชิงเต๋อ”ประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันที่สาบานตนรับตำแหน่งในวันนี้ (20พ.ค.) มีกลยุทธที่ดีที่สุดใน...

โจทย์ที่รอนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนใหม่

การเข้าทําหน้าที่ของนายหว่องอยู่ในช่วงที่สถานการณ์ทั้งในสิงคโปร์และโลกกําลังเปลี่ยนแปลงและท้าทาย มีโ...