‘Neuralink’ เผยเคสผู้ป่วยฝังชิปสมองเกิดปัญหา เส้นใยเชื่อมต่อสมองหลุด

กลายเป็นเรื่องใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ เมื่อการทดลองใช้ชิปฝังสมองของบริษัท "นิวรัลลิงก์"  (Neuralink) กับมนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นเกิดปัญหาขึ้นเสียแล้ว เมื่อเส้นใยบางส่วนของอุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมกับเนื้อสมองได้ “หลุด” ออก ซึ่งปัญหานี้ถูกเปิดเผยเองโดย อีลอน มัสก์ เจ้าของสตาร์ทอัพ Neuralink 

เส้นใยเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นดั่งตัวเชื่อมสัญญาณประสาท โดยตัวเส้นใยที่ใช้ใน Neuralink มีทั้งหมด 64 เส้นที่บางกว่าเส้นผมมนุษย์เสียอีก เชื่อมกับอิเล็กโทรดหรือตัวนำไฟฟ้า 1,024 ตัว จนกลายเป็นระบบ Neuralink ขึ้นมาในการสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยใช้เพียง “ความคิด” ในสมองเท่านั้น

- ใช้ความคิดสั่งการอุปกรณ์ด้วย Neuralink (เครดิต: Neuralink) -

เมื่อย้อนไปในเดือน ม.ค. Neuralink ได้ทำการผ่าตัดฝังชิปนี้ลงไปในสมองของ โนแลนด์ อาร์บอห์ (Noland Arbaugh) ผู้ป่วยวัย 29 ปี ซึ่งป่วยเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป หลังจากประสบอุบัติเหตุขณะดำน้ำ และบริษัทได้ถ่ายทอดสดวิดีโอที่แสดงภาพอาร์บอห์ ขณะที่เขากำลังใช้อุปกรณ์ในเดือน มี.ค.

ต่อมาในเดือน เม.ย. บริษัทได้โพสต์ข้อความในบล็อกว่า การผ่าตัดครั้งนั้นประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี 

แต่ทว่า ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์หลังการผ่าตัด เส้นใยบางส่วนของอุปกรณ์ได้หดตัวออกมาจากสมองของอาร์บอห์ ตามที่ Neuralink กล่าวในโพสต์บล็อกเมื่อวันพุธ (8 พ.ค.) ส่งผลให้มีตัวอิเล็กโทรดที่ใช้งานได้จริงลดลง จนกระทบความสามารถของบริษัทในการวัดความเร็วและความแม่นยำของระบบ Neuralink

Neuralink ไม่ได้เปิดเผยจำนวนเส้นใยที่หดตัวออกจากเนื้อเยื่อสมอง ในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น บทความในบล็อกของ Neuralink ระบุว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมบันทึกสัญญาณ พัฒนาอินเทอร์เฟซผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงเทคนิคการแปลงสัญญาณประสาทด้านการเคลื่อนไหว

อีกทั้ง Neuralink เคยพิจารณาที่จะนำอุปกรณ์นี้ออกจากสมองของอาร์บอห์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่ถึงขั้นกระทบความปลอดภัยของเขาโดยตรง

แม้ว่าจะมีเส้นใยบางส่วนหดตัวจากเนื้อเยื่อสมองของอาร์บอห์ แต่ Neuralink กล่าวว่า เขายังคงใช้งานชิปฝังสมองนี้ เป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา และบ่อยครั้งมากถึง 10 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะอาร์บอห์ มองว่าอุปกรณ์นี้ได้ให้ “ชีวิตใหม่” และช่วย “เชื่อมตัวเขาสู่โลกภายนอก” ได้อีกครั้ง

อ้างอิง: cnbc