‘โพลพระปกเกล้า’ เผย ก้าวไกล แรง ลุ้น สส.ทะลุ200 ทิ้งห่าง เพื่อไทย ได้ปริ่ม100
วันที่ส่ง: 27/05/2024 - ผู้เขียน: กรุงเทพธุรกิจ
สถาบันพระปกเกล้า (โพลพระปกเกล้า) โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมืองและศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี: 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาฯ 2566"
ผลการสำรวจ พบว่าถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงนี้ คนส่วนใหญ่ยังคงจะเลือกพรรคก้าวไกลมากเป็นอันดับ 1 ทั้งสองบัตร
เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า ถ้ามีการเลือกตั้งสส. ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต
- ร้อยละ 35.7 ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล
- ร้อยละ 18.1 ระบุว่า จะลงคะแนนเลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
- ร้อยละ 11.2 ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย
- ร้อยละ 9.2 ผู้สมัครจากพรรครวมไทยสร้างชาติ
- ร้อยละ 7.8 ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ
- ร้อยละ 5 ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
- ร้อยละ1.6 ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนา
- ร้อยละ 1.2 ผู้สมัครจากพรรคประชาชาติ ตามลำดับ
ในขณะที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคอื่นๆ หรือยังไม่ตัดสินใจเลือกใครในตอนนี้ รวมกันอีก ร้อยละ 10.2
เมื่อถามต่อไปว่า แล้วในการเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะลงคะแนนให้แก่บัญชีรายชื่อของพรรคใด
- ร้อยละ 44.9 ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล
- ร้อยละ 20.2 ระบุว่า จะลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย
- ร้อยละ 10.9 พรรครวมไทยสร้างชาติ
- ร้อยละ 3.5 พรรคภูมิใจไทย
- ร้อยละ 3 พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์
- ร้อยละ 1.3 พรรคประชาชาติ
- ร้อยละ 0.7 พรรคชาติไทยพัฒนา ตามลำดับ
นอกจากนี้น่าสนใจว่า ยังมีผู้ตอบที่ระบุว่าจะลงคะแนนให้พรรคการเมืองอื่น ๆ หรือไม่ต้องการลงคะแนนให้พรรคใดเลยในตอนนี้ รวมกันถึงร้อยละ 12.6
คะแนนนิยมของก้าวไกลทิ้งห่างเพื่อไทย จนทำให้ก้าวไกลอาจได้ สส. มากกว่าเพื่อไทย เกือบ 2 เท่า
เมื่อนำผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้เปรียบเทียบกับผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ปรากฏว่า พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพิ่มขึ้นมี 2 พรรค คือ พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชาติ โดยพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 9.67 ซึ่งอาจส่งผลให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ สส. เพิ่มขึ้นถึง 49 ที่นั่ง
ส่วนพรรคประชาชาติได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 0.35 ซึ่งอาจทำให้พรรคมีโอกาสชนะการเลือกตั้งและได้ ส.ส. เพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง
ในขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตลดลง จำนวน 6 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 7 และอาจส่งผลให้พรรค มีโอกาสเสียที่นั่งที่มีอยู่เดิมไปราว 28 ที่นั่ง
ในส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบว่า มีพรรคการเมือง 5 พรรคได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้น คือ
- พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 8.33
- พรรคพลังประชารัฐได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.62
- พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.66
- พรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.6
- พรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.19
อย่างไรก็ตาม คะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวส่งผลให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 8 ที่นั่ง และพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง เพียงสองพรรคเท่านั้น ส่วนคะแนนที่เพิ่มขึ้นของอีกสามพรรคยังไม่มากพอที่จะทำให้ได้ที่นั่งเพิ่ม
ในขณะที่มีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อลดลง จำนวน 3 พรรค คือ
- พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนนิยมลดลง คิดเป็นร้อยละ 7.49
- พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 1.18
- พรรคประชาชาติ ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 0.24
คะแนนนิยมที่ลดลงดังกล่าวมีผลให้พรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้ที่นั่งจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อน้อยลง 8 ที่นั่ง พรรครวมไทยสร้างชาติมีโอกาสได้น้อยลง 2 ที่นั่ง และพรรคประชาชาติมีโอกาสได้ที่นั่งน้อยลง 1 ที่นั่งตามลำดับ
เมื่อนำตัวเลขประมาณการที่นั่งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมีโอกาสได้รับจากการเลือกตั้งทั้งสองระบบมารวมกัน พบว่า หากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเวลานี้
- พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่มีโอกาสได้ที่นั่งมากที่สุด รวม 208 ที่นั่ง
- รองลงมาเป็น พรรคเพื่อไทย 105 ที่นั่ง
- พรรคภูมิใจไทย 61 ที่นั่ง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 34 ที่นั่ง
- พรรคพลังประชารัฐ 30 ที่นั่ง
- พรรคประชาธิปัตย์ 22 ที่นั่ง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง
- พรรคประชาชาติ 9 ที่นั่ง ตามลำดับ
ส่วนที่นั่งที่เหลือจะกระจายไปยังพรรคการเมืองอื่นๆ รวม 21 ที่นั่ง
ทั้งนี้ เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า ถ้าเลือกได้ ท่านอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้มากที่สุด ส่วนใหญ่ ระบุว่า
อยากให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.9
- รองลงมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 17.7
- น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 10.5
- นายเศรษฐา ทวีสิน ร้อยละ 8.7
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 3.3
- นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร้อยละ 1.7
- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 0.4 ตามลำดับ
- ยังมีผู้ตอบที่ระบุชื่อคนอื่น ๆ รวมกับที่ยังไม่เห็นว่ามีคนที่เหมาะสมอีก ร้อยละ 10.9
คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ
เกษตรฯ วางกรอบแก้ปัญหาฝุ่น พบเผาพื้นที่ตนเอง งดช่วยเหลือทุกกรณี
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการ เป็นประธานการประชุม...
เปิด5ทำเล“ราคาที่ดิน”เพิ่มสูงสุด!นครปฐมรั้งแชมป์พุ่ง82.1%แซงกทม.ชั้นใน
จากราคาที่ดินของโซนกรุงเทพชั้นในเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการพัฒนาโครงการ...
ถ่ายทอดสด ทีมชาติไทย U20 - ออสเตรเลีย ฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน U19 รอบรองฯ
ทีมชาติไทย U20 เพิ่งยันเสมอ มาเลเซีย 1-1 ทำให้จบเกมรอบแบ่งกลุ่มในฐานะ รองแชมป์กลุ่ม C ซึ่งตารางบอลถู...
ตารางบอล โอลิมปิก 2024 วันเสาร์ที่ 27 ก.ค. 67 ลิงค์ถ่ายทอดสดทุกคู่
โปรแกรมฟุตบอล วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2567 ตารางแข่งฟุตบอลชาย โอลิมปิก 2024 รอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 2 อัป...
ยอดวิว